วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทำไมถึงต้องจัดฟัน


มักจะมีคนไข้สงสัยกันว่า ทำไมเด็กสมัยนี้ถึงต้องจัดฟัน จัดเป็นแฟชั่นตามเพื่อนๆ หรือเพราะมีความจำเป็น และควรเริ่มจัดฟันตั้งแต่อายุเท่าไร จัดฟันเร็วเกินไปจำเป็นต้องกลับมาจัดใหม่อีกเพราะอะไร คำถามต่างๆ เหล่านี้มักได้ยินอยู่เสมอ จึงอยากเขียนเล่าเป็นความรู้พื้นฐานเพื่อใช้พิจารณาก่อนปรึกษาทันตแพทย์
ถ้าจะแยกปัญหาการสบฟัน น่าจะแยกเป็นความผิดปกติของการเรียงตัวฟันโดยตรง และ/หรือความผิดปกติของความสัมพันธ์ของขากรรไกร ขออธิบายคร่าวๆ ดังนี้คือ

1. ความผิดปกติของการเรียงตัวฟัน สาเหตุอาจเกิดจาก
- ขนาดของฟัน ใหญ่หรือเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับขนาดของขากรรไกร ทำให้เกิดฟันซ้อนเก หรือฟันห่าง ตามลำดับ
- การดูดนิ้ว, การดุนลิ้น ทำให้ฟันหน้ายื่น ห่าง
- การเลิกขวดนมช้ากว่าเวลาอันควร ทันตแพทย์ส่วนใหญ่มักแนะนำให้เปลี่ยนจากการดูดขวดมาเป็นแก้ว ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป
- ลักษณะนิสัย เช่น ชอบกัดริมฝีปากล่าง เป็นต้น ก็ทำให้ฟันหน้าบนยื่น/ห่าง
2. ความผิดปกติของความสัมพันธ์ของขากรรไกร สาเหตุอาจเกิดจาก
- กรรมพันธุ์ ตัวอย่างเช่น บุคคลในครอบครัวมีขากรรไกรล่างใหญ่ หรือฟันหน้าบน – ล่าง ยื่นอูม ซึ่ง
เป็นลักษณะทางกรรมพันธุ์เช่นกัน
- โรคบางชนิด หรืออุบัติเหตุ เป็นต้น

การเริ่มจัดฟันตั้งแต่อายุน้อยๆ จะสามารถแก้ปัญหา หรือทำให้ปัญหาบรรเทาลงได้ จึงไม่มีข้อกำหนดว่าควรเริ่มจัดฟันตั้งแต่อายุเท่าไหร่ แต่ควรเริ่มให้ทันตแพทย์ตรวจตั้งแต่ฟันแท้ขึ้นประมาณ 2-6 ซี่

การจัดฟันแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. การจัดฟันแบบถอดได้ เหมาะกับคนไข้อายุ 8-11 ปี ยังมีฟันน้ำนมเหลืออยู่บ้าง (mixed dentition) มักจะทำในกรณีที่พบว่าปัญหาการเรียงตัวของฟันไม่รุนแรง หรือจัดเพื่อเตรียมสภาพฟันก่อนจัดฟันแบบติดแน่นต่อไป เช่น ในกรณีคนไข้ดูดนิ้วมาตั้งแต่เล็กไม่สามารถเลิกได้ ผลทำให้ฟันบนยื่น - ห่าง การใส่เครื่องมือแก้ปัญหาดูดนิ้วตั้งแต่เล็ก จะสามารถทำให้เด็กเลิกได้ง่ายกว่ารอจนเด็กโต หรือฟันหน้าล่างคร่อมฟันหน้าบน 1-4 ซี่ การใส่เครื่องมือแบบถอดได้ประมาณ 8-12 เดือนทำให้ฟันสบได้สวยงามขึ้น
2. การจัดฟันแบบติดแน่น เหมาะกับคนไข้อายุ 10 ปีขึ้นไป ซึ่งเริ่มมีฟันแท้ขึ้นเกือบครบทั้งปาก (อาจจะยังเหลือฟันน้ำนม 1-4 ซี่ ก็สามารถเริ่มจัดได้) ผลขอการจัดฟันแบบติดแน่นจะทำให้ฟันมีการเรียงตัวสวยงาม มีรูปหน้าที่มีความสมดุลกับจมูกและคาง ส่วนใหญ่ใช้เวลาในการจัด 2-3 ปี ภายหลังการจัดฟัน การใส่ retainer ประคองฟันไว้มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะถ้าไม่ใส่จะทำให้ฟันล้มได้ง่าย จึงควรใส่ retainer เพื่อป้องกันการกลับมาจัดฟันใหม่อีกครั้ง

โรคที่มากับคอมพิวเตอร์


ในปัจจุบันนี้คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของผู้คนสมัยนี้ไปเสียแล้ว ถึงแม้จะมีประโยชน์แต่ก็มีโทษด้วยเช่นกัน การใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ล้วนแต่ทำให้เกิดโรคต่างๆได้มากมาย อาทิเช่น อาการปวดตาหรือต้อหิน ที่สาเหตุเกิดจากการจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆโรคเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ ที่เกิดจากการงอมือในขณะที่ใช้คีย์บอร์ด โรคเอนไซม์ไลเปส (Lipase) ซึ่งเป็นที่มาของโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือดหรือโรค Cumulative Trauma Disorders ซึ่งบางโรคอาจจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ดังเช่นนักวิจัยชาวอังกฤษได้ทำการศึกษาและพบว่า คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์นั้นล้วนเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่อันตรายกว่าโถสุขภัณฑ์ถึง 5 เท่า และทำให้ผู้ใช้ท้องเสียโดยไม่รู้ตัว และเป็นต้นเหตุของอาหารเป็นพิษอีกด้วย ซึ่งหากไม่แน่ใจว่าร่างกายได้รับแบคทีเรียไปแล้วมากน้อยเพียงใด โรงพยาบาล สมิติเวช มีโปรแกรมตรวจรักษาให้คุณได้มั่นใจและปลอดภัยจากโรคต่างๆที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ โดยแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในการรักษาเฉพาะด้าน

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กำเนิดไอศกรีม




ไอศกรีม ของหวานที่ได้รับความนิยมมากเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ได้ถือกำเนิดขึ้นใน ประเทศจีนเมื่อ ๔,๐๐๐ ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในตอนแรกที่ผลิตนั้น ไอศกรีมจะดูเหมือนนมขุ่น ๆ แช่แข็งมากกว่าไม่ได้เป็นครีมนุ่ม ๆ เย็น ๆ อย่างทุกวันนี้

ในตอนนั้น ประเทศจีนเพิ่งจะเริ่มมีการรีดนมจากสัตว์เลี้ยงในฟาร์ม นมจึงจัดเป็นอาหารที่มีราคาแพง พวกชนชั้นสูงจะนำนมไปหมกไว้ในหิมะเพื่อให้กลายเป็นนมแช่แข็ง หลังจากนั้นก็เริ่มพัฒนาทำน้ำผลไม้แช่แข็งรับประทานกัน พอถึงศตวรรษที่ ๑๓ ขนมแช่แข็งสารพัดชนิดก็มีวางขาย เข็นขายกันตามถนนและทุกซอกซอยทั่วกรุงปักกิ่ง

ในศตวรรษที่ ๑๔ นมแช่แข็งและน้ำผลไม้แช่แข็งก็เดินทางไปอิตาลีและต่อไปยังฝรั่งเศส ในงานเฉลิมฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างแคเธอรีน เดอ เมดซี แห่งเวนิส กับว่าที่กษัตริย์เฮนรี่ที่ ๒ แห่งฝรั่งเศสเมื่อ ปี ค.ศ. ๑๕๓๓ ซึ่งนอกจากจะเสิร์ฟของหวานแช่แข็งหลากรสแล้ว ยังมีการเสิร์ฟของหวานกึ่งแช่แข็ง (ที่ทำจากครีมข้นหวาน) ซึ่งมีลักษณะคล้ายไอศกรีมในปัจจุบันหลังจากที่หมอชาวสเปนในกรุงโรมคนหนึ่ง ได้พบเทคนิคพิเศษที่ว่า อุณหภูมิของส่วนผสมในการทำไอศกรีมแช่แข็งจะลดลงถึงจุดเยือกแข็งได้อย่างรวด เร็วขึ้น หากเติมดินประสิวลงในหิมะหรือน้ำแข็งที่อยู่รอบถัง เมื่อนั้นชาวฟลอเรนซ์จึงเป็นผู้ริเริ่มผลิตของหวานแช่แข็งที่ทำจากครีมล้วน ๆ ชนิดแรกของโลก

ในปี ค.ศ. ๑๘๗๐ ภาพคนขายไอศกรีมอิตาเลี่ยนก็กลายเป็นภาพที่คุ้นตาบนถนนในกรุงลอนดอน เด็ก ๆ จะเรียกคนขายไอศกรีมว่า 'โฮกี้ โปกี้' ซึ่งเพี้ยนมาจากเสียง 'Ecoo un poco' หรือ "หนู ๆ มาที่นี่”

จุดที่ไอศกรีมเดินทางเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็คือเมืองฟิลา เดลเฟีย และในต้นทศวรรษ ๑๘๐๐ เมืองนี้ได้กลายเป็นเมืองหลวงของไอศกรีม เพราะผลิตไอศกรีมเป็นจำนวนมหาศาล นอกจากนั้น ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของไอศกรีมโซดาหรือไอศกรีมโฟลต

ไอศกรีมซันเด-ของโปรดของหลาย ๆ คน เกิดเมื่อกลางทศวรรษที่ ๑๘๘๐ ว่ากันว่า ชื่อของไอศกรีมชนิดนี้มาจากการสะกดคำว่า Sunday ให้แปลกออกไป (สะกดเป็น Sundae) และมีขายกันเฉพาะวันอาทิตย์ ส่วนแหล่งกำเนิดไอศกรีมซันเดนั้นไม่ปรากฏแน่ชัดแต่ละเมืองก็อ้างว่าตนมีเมนู ไอศกรีมของวันอาทิตย์เป็นหลักฐานยืนยันในขณะที่บางครอบครัวก็ว่า นี่เป็นอาหารจานพิเศษที่จะกินกันเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น

ส่วนวิปป์ครีมที่ประดับสวยอยู่บนหน้าไอศกรีมนั้น เกิดมาจากความที่ขี้เกียจตีครีมของนายชาร์ลส์ โกทช์ นักเคมีชั้นยอดแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ผู้คลุกคลีในกิจการไอศกรีม จึงทำให้เขาค้นพบวิธีการทำให้ครีมอิ่มตัวด้วยการใช้ก๊าชไนทรัสออกไซด์หรือ ก๊าซหัวเราะ

การเสิร์ฟไอศกรีมมากับจานแบน ๆ หรือใช้โปะลงบนยอดวอฟเฟิลนั้นมีมาเป็นเวลาหลายศตวรรษแล้ว จนไอศกรีมโคนได้เกิดขึ้นในงานออกร้าน 'เซ็นต์หลุยส์ เวิร์ล'สแฟร์ ' ในรัฐมิสซูรี่ เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๐๔ เมื่อนายอาร์โนลด์ ฟอร์นาโช คนขายไอศกรีมเกิดขาดแคลนจานกระดาษสำหรับใส่ไอศกรีมขึ้นมา เลยไปคว้าเอาแผ่นวอฟเฟิลจากร้านขายวอฟเฟิลของนายเออร์เนสต์ แฮมไว ที่อยู่ข้าง ๆ มาม้วนเป็นกรวย แล้วใช้เป็นภาชนะสำหรับบรรจุไอศกรีมเสียเลย เป็นอันว่า ได้มีการม้วนแผ่นวอฟเฟิลทำเป็นโคนมาเรื่อย ๆ จนถึงปี ค.ศ. ๑๙๑๒ เมื่อเฟรเดอริก บรุคแมน นักประดิษฐ์จากรัฐโอเรกอน ได้จดลิขสิทธิ์เครื่องจักรสำหรับการนี้โดยเฉพาะขึ้น หลังจากนั้นหนึ่งในสามของไอศกรีมทั้งหมดที่บริโภคกันในสหรัฐอเมริกาจะบรรจุ ลงในโคน